เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี
เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีจะมีความต้านทานต่อการกัดกร่อนในสภาพบรรยากาศทั่วไปเหนือกว่าเหล็กแผ่นธรรมดา โดยสังกะสีที่เคลือบเหล็กจะช่วยปกป้องเหล็กจากการสัมผัสกับบรรยากาศภายนอก และยังปกป้องเหล็กโดยที่ตัวเองผุกร่อนแทนเหล็ก (Sacrificial protection)
เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่มตามกรรมวิธีผลิตดังนี้
1. เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีโดยวิธีการจุ่มร้อน (Hot Dip Galvanizing, HDG) เป็นวิธีการที่ใช้อย่างกว้างขวางในประเทศไทย กรรมวิธีผลิต (ดูภาพที่ 1) เริ่มจากการเชื่อมต่อเหล็กแผ่นระหว่างม้วนเพื่อให้สามารถผ่านกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเหล็กแผ่นจะผ่านเข้าสู่ Accumulator ซึ่งเป็นตัวช่วยปรับความเร็วของเหล็กแผ่น ให้สามารถเข้าสู่ขั้นตอนการเคลือบอย่างคงที่ เหล็กแผ่นที่ผ่าน Accumulator จะผ่านต่อไปยังสายการทำความสะอาดเหล็กเพื่อขจัดฝุ่นและคราบน้ำมันและทำให้สังกะสีสามารถเกาะติดได้ดีขึ้น จากนั้นจะผ่านเตาอบ (Annealing furnace) ในบรรยากาศควบคุม เพื่อให้เหล็กที่ผ่านการรีดเย็นเกิดการตกผลึกใหม่ (Recrystallization) และลดความเครียดจากการรีดเย็น จากนั้นเหล็กแผ่นจะถูกผ่านต่อไปที่อ่างสังกะสีหลอมเหลว (Zinc bath) ที่มีอุณหภูมิประมาณ 465 °C เพื่อทำการเคลือบ เหล็กแผ่นที่เคลือบสังกะสีแล้วจะผ่าน Gas-knives ซึ่งใช้อากาศหรือไอเพื่อควบคุมปริมาณสังกะสีที่เคลือบบนแผ่นเหล็ก และผ่านเข้าสู่ Cooling Tower เพื่อทำให้เย็นตัวลง จากนั้นเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีจะผ่านเข้า Chemical treatment section โดยใช้ Chromic acid เพื่อป้องกันการเกิดผลิตภัณฑ์จากการกัดกร่อนที่เรียกว่า white rust ต่อมาเหล็กแผ่นเคลือบจะผ่านสู่ Accumulator อีกตัวหนึ่งซึ่งจะช่วยปรับความเร็วของเหล็กแผ่นระหว่าง Accumulator ตัวที่สองกับ Winding reel ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้สามารถนำ Coil ออกและม้วน Coil ใหม่ได้ และจาก Accumulator ตัวที่สองเหล็กแผ่นเคลือบจะผ่านขั้นตอนการปรับความเรียบ Stretch flattening (ขั้นตอนการปรับความเรียบนี้สามารถเลือกทำหรือไม่ทำขึ้นกับการใช้งาน) และเข้าสู่ Coiler ในที่สุด
แผนผังการผลิตเหล็กเคลือบสังกะสีแบบ HDG
2. เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีโดยวิธีการจุ่มร้อนและอบ (Galvaneal หรือ Iron-Zinc coating, IZ) จะทำตามกรรมวิธีผลิตแบบ HDG แต่จะเพิ่มขั้นตอนการอบเหล็กหลังจากที่เหล็กผ่านอ่างชุบสังกะสี เพื่อเร่งขบวนการแพร่ (Diffusion) และให้ชั้นเคลือบสังกะสีเป็นแบบสารประกอบโลหะ (Zn-Fe) เหล็กแผ่นเคลือบแบบ Galvaneal นี้จะมีลักษณะด้าน ไม่เงา สามารถทาสีเกาะติดดี และสามารถเชื่อมแบบใช้ความต้านทาน (Resistance welding) ได้ดีกว่าเหล็กเคลือบ HDG ธรรมดา
3. เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีโดยวิธีทางไฟฟ้า (Electrogalvanizing) จะทำการเคลือบที่อุณหภูมิห้อง โดยเหล็กแผ่นจะผ่านการอบอ่อนแบบดังเดิมก่อน และผ่านสู่การเคลือบโดยผ่านอ่างเพื่อทำความสะอาดด้วยวิธีทางเคมีหรือทางไฟฟ้าเพื่อขจัดฝุ่นและคราบน้ำมัน จากนั้นเหล็กแผ่นจะผ่านสู่การเคลือบโดยใช้สารละลาย Zinc sulfate และใช้สังกะสี (Zinc) เป็นอาโนด (Anode) เหล็กแผ่นที่ผ่านการเคลือบจะผ่านต่อไปที่อ่าง Chromate เพื่อทำการ Passivation
การใช้งานเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบต่างๆ
เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน เช่น
- หลังคา
- ผนังโรงงาน (ทาสีทับ)
- รางน้ำ
- แท้งค์น้ำ
- งานท่อ (Piping)
- ท่อระบายอากาศ (Ventiduct)
- Partition frame
เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนและอบ เช่น
- อุตสาหกรรมยานยนต์
เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีไฟฟ้า เช่น
- เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน
- ฝาครอบคอมพิวเตอร์ (Computer casing)
- อุตสาหกรรมยานยนต์
หมายเหตุ * สำหรับเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนในประเทศไทย จะเป็นแบบที่มีลวดลาย แพรวพราว (Spangle) ของผลึกซึ่งลวดลายนี้อาจยังปรากฏให้เห็นได้หลังการเคลือบสีทับทำให้ความสวยงามลดลง สำหรับการผลิตแบบ (Minimum spangle หรือ Spangle free) จะต้องควบคุมปริมาณตะกั่วที่ผสมในอ่างสังกะสีหลอมเหลวให้ต่ำกว่า 0.15% และใช้เทคนิคให้เกิดการเย็นตัวอย่างรวดเร็ว หรือเพิ่มปริมาณนิวเคลียสที่ผิวเคลือบ (เช่น การพ่นด้วยผงสังกะสี) เพื่อยับยั้งการโตของผลึก
ผู้ออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายประตูเหล็ก ประตูเหล็กกันไฟ ประตูเหล็กบานเลื่อน
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551
เหล็กแผ่นรีดร้อน
SPHC เป็นเกรดที่ใช้เรียกเหล็กแผ่นรีดร้อนหรือที่ท้องตลาดเรียกว่าเหล็กแผ่นดำ เหล็กแผ่นรีดร้อนในกลุ่มนี้จะใช้กับ งานขึ้นรูปทั่วไป นอกจาก SPHC แล้วในกลุ่มนี้ยังมีเกรด SPHD และ SPHEอีก ซึ่งมีความสามารถในการปั้มขึ้นรูป ลึกมากขึ้นตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามความสามารถในการปั้มขึ้นรูปของเหล็กแผ่นรีดร้อนทุกเกรดจะน้อยกว่า เหล็กแผ่นรีดเย็นที่มีถึง 5 เกรด คือ SPCC, SPCD, SPCE, SPCF และ SPCG เช่นที่ความหนา 1.6 มม.ตามสเป็ค SPHCจะยืดจนขาด (Elongation) ได้สูงสุด 29%แต่เหล็กแผ่นรีดเย้นที่ความหนาเดียวกันจะยืดจนขาด (Elongation) ได้ถึงสูงสุด 38%นอกจากสมบัติในการปั้มขึ้นรูปที่น้อยกว่านี้ คุณภาพผิวของเหล็กแผ่นรีดร้อน (SPHC) จะมีผิวสีดำ ไม่เรียบเหมือนเหล็กแผ่นรีดเย็น ความหนาในการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนให้บางถึง 1.0 มม. ก็ทำได้ยากดังนั้นการ เลือกใช้เหล็กเพื่อผลิตชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าต้องเลือกให้เหมาะสม เช่น เหล็กแผ่นรีดเย็น (SPCC) ใช้กับงานที่โชว์ ผิว เช่น ตัวบอดี้เครื่องใช้ไฟฟ้า งานที่ปั้มขึ้นรูปลึก งามที่บางๆ เช่น 1.00 และ 1.60มม.
ส่วนเหล็กแผ่นรีดร้อน (SPHC) อาจประยุกตืใช้ได้บ้างเพื่อลดต้นทุนในงานที่มีความหนาเช่น 2.3 มม.และเป็นชิ้นส่วนที่ขึ้นรูประดับทั่วไปและ เป็นชิ้น ส่วนที่อยู่ภายในอุปกรณ์ แต่ควรเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ผ่านการล้างผิวด้วยกรดแล้ว หรือที่เรียกว่าเหล็ก PO (Picklingand oil) เพื่อสามารถทำสีแล้วผิวจะสวยและทนทานกว่า
เหล็ก SPHC จัดอยู่ในมาตรฐานญี่ปุ่น JIS G3131: Hot rolled mild steel plates, sheets and strip เป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนใช้สำหรับงานขึ้นรูปทั่วไป งานพับ ส่วนเหล็ก SS400 จัดอยู่ในมาตรฐานญี่ปุ่น JIS G3101: Rolled steels for general structure ใช้สำหรับงานโครงสร้าง สะพาน เรือ เป็นต้น เหล็ก SPHC จะมีค่าความต้านทานแรงดึง (Tensile strength, TS) ขั้นต่ำ 270 MPa ส่วนเหล็ก SS400 จะมีค่าความต้านทานแรงดึงที่จุดคลาก (Yield strength) ขั้นต่ำ 245 MPa และค่า TS 400-510 MPa แต่จะมี Elongation ต่ำกว่า SPHC ครับ ปริมาณคาร์บอนโดยทั่วไปก็จะสูงกว่าของ SPHC
ส่วนเหล็กแผ่นรีดร้อน (SPHC) อาจประยุกตืใช้ได้บ้างเพื่อลดต้นทุนในงานที่มีความหนาเช่น 2.3 มม.และเป็นชิ้นส่วนที่ขึ้นรูประดับทั่วไปและ เป็นชิ้น ส่วนที่อยู่ภายในอุปกรณ์ แต่ควรเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ผ่านการล้างผิวด้วยกรดแล้ว หรือที่เรียกว่าเหล็ก PO (Picklingand oil) เพื่อสามารถทำสีแล้วผิวจะสวยและทนทานกว่า
เหล็ก SPHC จัดอยู่ในมาตรฐานญี่ปุ่น JIS G3131: Hot rolled mild steel plates, sheets and strip เป็นเหล็กแผ่นรีดร้อนใช้สำหรับงานขึ้นรูปทั่วไป งานพับ ส่วนเหล็ก SS400 จัดอยู่ในมาตรฐานญี่ปุ่น JIS G3101: Rolled steels for general structure ใช้สำหรับงานโครงสร้าง สะพาน เรือ เป็นต้น เหล็ก SPHC จะมีค่าความต้านทานแรงดึง (Tensile strength, TS) ขั้นต่ำ 270 MPa ส่วนเหล็ก SS400 จะมีค่าความต้านทานแรงดึงที่จุดคลาก (Yield strength) ขั้นต่ำ 245 MPa และค่า TS 400-510 MPa แต่จะมี Elongation ต่ำกว่า SPHC ครับ ปริมาณคาร์บอนโดยทั่วไปก็จะสูงกว่าของ SPHC
วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551
download แค็ตตาล็อค ประตูเหล็ก ประตูเหล็กกันไฟ บจก. เอ.ยู.เอ็ม.
แค็ตตาล็อค ประตูเหล็ก ประตูเหล็กกันไฟ บจก. เอ.ยู.เอ็ม.
URL สำหรับ download
http://www.uploadtoday.com/download/?20109&A=363396
URL สำหรับ download
http://www.uploadtoday.com/download/?20109&A=363396
วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551
ข้อมูลเบื้องต้นของประตูเหล็ก

(GENEREL PURPOSE DOOR)
บานประตูมีความหนา 44 มม. ใช้เหล็กแผ่นหนา 1.6 มม. เพื่อพับขึ้นรูปประกอบเป็นบานประตูโดยโครงสร้างภาย ในบานประตูเป็นเหล็กพับแบบตัว C ขึ้นรูปแบบ Reinforced Double Skin Shell ระยะห่างโครงภายใน 200-250 มม. เชื่อมยึดแบบไร้ตะเข็บ พร้อมเสริมเพรท เหล็กสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ บานประตูยึดติดกับวงกบ ด้วยบานพับบู๊ทสเตนเลส ขนาด 4”x6”x3 มม. มาตรฐาน A.U.M.ให้ความคงทนและแข็งแรงในการเปิด-ปิดตลอดอายุการใช้งาน สำหรับประตูที่มีช่องกระจกหรือช่องเกล็ด จะเพิ่มคิ้วเหล็กพับขึ้นรูปโดยรอบเพื่อติดตั้งกระจกหรือเกล็ด
ให้มีความแข็งแรงและยึดติดแน่น วงกบใช้เหล็กแผ่นหนา 1.6 มม.พับขึ้นรูปขนาด 2”x4” ประกอบแบบ 3 ด้าน
ประตูเหล็กกันไฟ
(FIRE DOOR)
ประตูเหล็กเสียง
ประตูเหล็กเสียง
(SOUND PROOF DOOR)
ประตูทั้งสองชนิดนี้ มีโครงสร้างคล้ายกับประตูเหล็กทั่วไปต่างกันที่ประตูกันไฟจะบุด้วยชนวนกันความร้อนชนิดใยหิน(Rock Wool) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติกันการแผ่ความร้อน ส่วนวงกบเพิ่มร่องทั้ง 4 ด้านสำหรับใส่ยางกันควันซึ่งผลิตจากยางชนิด (Neoprene) มีคุณสมบัติไม่ติดไฟเมื่อยามเกิดไฟไหม้อีกทั้งยังช่วยป้องกันเสียงผ่านได้ นอกจากนี้ ยังสามารถผลิตประตูกันเสียงได้ตามความต้องการโดย
ใช้วัสดุซับเสียงชนิดต่างๆ เช่น ใยแก้ว(Glas Wool) ,โพรียูลีเทนโฟม(Polyurethane Foam) หรือใยหิน(Rock Wool) เพื่อเป็นวัสดุซับเสียงภายในบานประตู
วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551
กฎกระทรวง
กฎกระทรวง
ฉบับที่ ๓๓ (พ.ศ. ๒๕๓๕)
ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร
พ.ศ. ๒๕๒๒
___________
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ (๓) และมาตรา ๘ (๑) (๔) (๖) (๘) และ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยคำแนะนำ
ของคณะกรรมการควบคุมอาคารออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
หมวด ๒
ระบบระบายอากาศ ระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันเพลิงไหม้ ข้อ ๒๗ ประตูหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟ เป็นบานเปิดชนิดผลักออกสู่ภายนอกพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ชนิดบังคับให้บานประตูปิดได้เอง มีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า ๙0 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า ๑.๙0 เมตร และต้องสามารถเปิดออกได้โดยสะอาดตลอดเวลา ประตูหรือทางออกสู่บันไดหนีไฟต้องไม่มีชั้นหรือธรณีประตูหรือขอบกั้น
เล่ม ๑0๙ ตอนที่ ๑๑ ราชกิจจานุเบกษา หน้า ๑๗ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
-----------------------------------------------------------------------
ประกาศกรุงเทพมหานคร
เรื่อง ข้อกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ
และทางหนีไฟทางอากาศ
___________
ด้วยกรุงเทพมหานครเห็นเป็นการสมควรกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ
ของคณะกรรมการควบคุมอาคารออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
หมวด ๒
ระบบระบายอากาศ ระบบไฟฟ้าและระบบป้องกันเพลิงไหม้ ข้อ ๒๗ ประตูหนีไฟต้องทำด้วยวัสดุทนไฟ เป็นบานเปิดชนิดผลักออกสู่ภายนอกพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ชนิดบังคับให้บานประตูปิดได้เอง มีความกว้างสุทธิไม่น้อยกว่า ๙0 เซนติเมตร สูงไม่น้อยกว่า ๑.๙0 เมตร และต้องสามารถเปิดออกได้โดยสะอาดตลอดเวลา ประตูหรือทางออกสู่บันไดหนีไฟต้องไม่มีชั้นหรือธรณีประตูหรือขอบกั้น
เล่ม ๑0๙ ตอนที่ ๑๑ ราชกิจจานุเบกษา หน้า ๑๗ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
-----------------------------------------------------------------------
ประกาศกรุงเทพมหานคร
เรื่อง ข้อกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ
และทางหนีไฟทางอากาศ
___________
ด้วยกรุงเทพมหานครเห็นเป็นการสมควรกำหนดลักษณะแบบของบันไดหนีไฟ
และทางหนีไฟทางอากาศของอาคารตามสภาพที่เหมาะสม
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้อยู่ภายในอาคารที่ถูกไฟไหม้สามารถใช้บันไดหนีไฟลงพื้นดินได้อย่างสะดวกและปลอดภัยตามลักษณะแบบของอาคารที่ได้รับอนุญาต
และเพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถออกจากอาคารได้อย่างรวดเร็วและฉับไวทันต่อเหตุการณ์อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๒๔ และข้อ ๔๖ แห่งข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่อง ควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.๒๕๒๒ ผู้วาราชการกรุงเทพมหานคร จึงกำหนดลักษณะแบบของทางหนีไฟและทางหนีไฟทางอากาศไว้ดังต่อไปนี้
๓.๔ ทางเข้าออกหรือช่องประตูสู่บันไดหนีไฟต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า ๙0 เซนติเมตรและ สูงไม่น้อยกว่า ๒0 เมตรและต้องมีลักษณะดังนี้
๓.๔.๑ ช่องทางเข้าออกต้องมีบานประตูและวงกบทำด้วยวัสดุที่สามารถทนไฟได้ไม่น้อยกว่า ๒.0 ชั่วโมง
๓.๔.๑ ช่องทางเข้าออกต้องมีบานประตูและวงกบทำด้วยวัสดุที่สามารถทนไฟได้ไม่น้อยกว่า ๒.0 ชั่วโมง
๓.๔.๒ มีอุปกรณ์ทำให้ประตูปิดสนิทเพื่อป้องกันควันและเปลวไฟมิให้เข้าสู่บันไดพร้อมมีอุปกรณ์
ควบคุบให้บานประตูปิดอยู่ตลอดเวลาและสามารถผลักเปิดได้เวลาแม้เวลาประตูได้รับความร้อน
๓.๔.๓ บานประตูต้องเป็นบานเปิดเท่านั้น ห้ามเป็นบานเลื่อนและห้ามมีธรณีประตู
๓.๔.๔ ต้องมีชานพักบันไดระหว่างประตูกับบันไดกว้างไม่น้อยกว่า ๑.๒ เท่าของความกว้างของบันไดนั้นๆ
๓.๔.๕ ทิศทางการเปิดของประตูต้องเปิดเข้าสู่บันไดเท่านั้นนอกจากชั้นดาดฟ้าชั้นล่างและชั้นเข้าออกเพื่อหนีไฟสู่ภายนอกอาคารให้เปิดออกจากห้องบันไดหนีไฟ
๓.๔.๖ ห้ามติดตั้งสายยู ห่วง โซ่ กลอน หรือสิ่งอื่นที่ลักษณะคล้ายคลึงกันที่อาจยึดหรือคล้องกุญแจขัดขวางไม่ให้เปิดประตูจากภายในอาคาร
๓.๔.๗ กรณีที่ติดตั้งกุญแจกับบานประตูเพื่อป้องกันบุคคลเข้าอาคารจากภายนอกให้ติดตั้งชนิดที่ภายในเปิดได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ส่วนภายนอกเปิดไดโดยใช้กุญแจเท่านั้น
๓.๔.๓ บานประตูต้องเป็นบานเปิดเท่านั้น ห้ามเป็นบานเลื่อนและห้ามมีธรณีประตู
๓.๔.๔ ต้องมีชานพักบันไดระหว่างประตูกับบันไดกว้างไม่น้อยกว่า ๑.๒ เท่าของความกว้างของบันไดนั้นๆ
๓.๔.๕ ทิศทางการเปิดของประตูต้องเปิดเข้าสู่บันไดเท่านั้นนอกจากชั้นดาดฟ้าชั้นล่างและชั้นเข้าออกเพื่อหนีไฟสู่ภายนอกอาคารให้เปิดออกจากห้องบันไดหนีไฟ
๓.๔.๖ ห้ามติดตั้งสายยู ห่วง โซ่ กลอน หรือสิ่งอื่นที่ลักษณะคล้ายคลึงกันที่อาจยึดหรือคล้องกุญแจขัดขวางไม่ให้เปิดประตูจากภายในอาคาร
๓.๔.๗ กรณีที่ติดตั้งกุญแจกับบานประตูเพื่อป้องกันบุคคลเข้าอาคารจากภายนอกให้ติดตั้งชนิดที่ภายในเปิดได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ส่วนภายนอกเปิดไดโดยใช้กุญแจเท่านั้น
วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2551
กระจกอาซาฮี
กระจกลามิเนต ให้ความสดใส... ให้ความปลอดภัย
(ลามิแทค) กระจกลามิเนต ผลิตโดยการนำกระจกตั้งแต่สองแผ่นขึ้นไปมายึดติดกันด้วย
(ลามิแทค) กระจกลามิเนต ผลิตโดยการนำกระจกตั้งแต่สองแผ่นขึ้นไปมายึดติดกันด้วย
แผ่นฟิล์ม (PVB : Poly Vinyl Butyral) ซึ่งสามารถปกป้องรังสีอัตราไวโอเลตได้กว่า 99%
และมีความเหนียวทนทานซ้อนอยู่ระหว่างกลาง ทำหน้าที่ยึดเกาะให้กระจกติดกัน
เป็นกระจกที่ให้ความปลอดภัยสูงเมื่อถูกกระแทกจนแตก แผ่นฟิล์มจะยึดเกาะมิให้เศษ
กระจกหลุดร่วง จะมีเพียงรอยแตกหรือรอยร้าวคล้ายใยแมงมุมเท่านั้น
และที่สำคัญคือวัตถุที่วิ่งมาชนจะไม่สามารถทะลุผ่านไปได้
(ลามิแทคคูล) นวัตกรรมใหม่จากกระจกไทยอาซาฮี ผลิตด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
(ลามิแทคคูล) นวัตกรรมใหม่จากกระจกไทยอาซาฮี ผลิตด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย
โดยการนำกระจกตั้งแต่สองแผ่นขึ้นไปมายึดติดกัน ด้วยแผ่นฟิล์มชนิดพิเศษ
(Solar Control : UV & IR Cut Film) ที่ได้จากการเติมโลหะที่มีคุณสมบัติในการดูดกลืน
ความร้อน ซึ่งฟิล์มดังกล่าวนอกจากจะสามารถป้องกันรังสีอัตราไวโอเลตได้ถึง 99.3-99.8%
แล้ว ยังสามารถป้องกันรังสีอินฟาเรด (IR) ได้มากกว่า 40% เหนือฟิล์ม PVB ทั่วไป * อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบต่อการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (สัญญาณวิทยุ สัญญาโทรศัพท์มือถือ) อีกด้วย
คุณสมบัติเด่น
มีความแข็งแรงและความปลอดภัยสูง เมื่อกระจกเกิดการแตกแผ่นฟิล์มจะเป็นตัวยึดเกาะ กระจกไม่หลุดร่วงลงมาทำให้เกิดอันตราย สกัดกั้นรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ได้มากกว่า 99% ลดปริมาณรังสียูวี ที่ส่องผ่านกระจกไปยังวัสดุที่อยู่ภายใน เช่น เฟอร์นิเจอร์ ม่าน พรม ทำ ให้สีไม่ซีดจาง ขณะเดียวกันยังคงความใสเฉกเช่นกระจกธรรมดา ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ก่อให้เกิดบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย
ป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอก ก่อให้เกิดบรรยากาศสบายแก่ผู้อยู่อาศัย และยังช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย
เพิ่มความปลอดภัยจากการโจรกรรม เนื่องจากแผ่นฟิล์มที่คั่นอยู่ระหว่างกระจกมีคุณสมบัติที่เหนียวและทนทาน ทำให้วัตถุที่วิ่งมาชนยากต่อการ ทะลุผ่านเข้าไปได้
การใช้งาน
ใช้เป็นหลังคากระจกที่ต้องการให้แสงสว่างเข้าสู่อาคารได้
ผนังของอาคารสูง หรือช่องหน้าต่างอาคารสูง ที่ต้องการความปลอดภัยจากเศษกระจกหลุดร่วงลงมาเมื่อแตก
บริเวณทางเข้าออกอาคาร ตู้โชว์ของมีค่า หน้าร้านค้า ตู้ปลาขนาดใหญ่ กระจกสำหรับราวกันตก
การป้องกันการโจรกรรม และลอบทำร้าย คือกระจกกันกระสุน ซึ่งใช้แผ่นฟิล์มหนาและเหนียวยิ่งขึ้น และใช้กระจกหลายแผ่นซ้อนกัน
ข้อควรระวัง
ควรติดตั้งตามกระบวนการติดตั้งกระจกลามิเนต
ไม่ควรทำให้ขอบกระจกลามิเนตเกิดรอยบิ่น โดยเฉพาะเมื่อติดตั้งกระจกไว้ภายนอก เพราะขอบอาจได้รับความชื้นซึ่งเป็นตัวทำลายชั้นฟิล์ม เป็นสาเหตุให้ฟิล์มแยกตัวออกจากกระจก
กระจกลามิเนตจะเกิดฟองอากาศ เมื่อกระจกมีอุณหภูมิ 70o องศาเซลเซียส หรือสูงกว่าเพราะฟิล์มจะมีการเปลี่ยนคุณสมบัติทางโครงสร้างการยึดเกาะ
ระวังอย่าให้ขอบกระจกถูกสารละลายเพราะจะทำให้ชั้นฟิล์มเสียหาย
ควรทำการวัดขนาดกระจกลามิเนตให้พอดีก่อนการติดตั้ง เพราะกระจกลามิเนตไม่แนะนำให้นำมาตัดในภายหลัง
การนำกระจกแต่ละประเภทมาประกอบเป็นกระจกลามิเนตกระจกลามิเนต สามารถเพิ่มความแข็งแรงทนทานหรือคุณสมบัติอื่น ๆ ได้โดยการนำไปประกอบกับกระจกแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น
กระจกโฟลตใส + ฟิล์ม + กระจกโฟลตใส
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ + ฟิล์ม + กระจกโฟลตใส
กระจกสะท้อนแสง + ฟิล์ม + กระจกกระจกโฟลตใส
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ + ฟิล์ม + กระจกนิรภัยเทมเปอร์
กระจกฮตีสเตร็งเทน + ฟิล์ม + กระจกฮตีสเตร็งเทน
วิธีการติดตั้ง
เพื่อป้องกันน้ำเข้าที่ขอบกระจก ควรใช้วัสดุยาแนวที่มีคุณภาพสูง เช่น Silicon sealant หรือ Polysulfide
ไม่ควรใช้วัสดุยาแนวที่มีส่วนประกอบของสารละลายหรือ oil-based putty
แนวของกรอบกระจก ควรมีร่องระบายน้ำอย่างต่ำที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร และควรมีไว้ 3 จุดเพื่อการระบายน้ำที่ดี
วัสดุที่ใช้รองรับวัสดุยาแนว ควรใช้ Polyethylene foam หรือ Chloroprene rubbers
การใช้วัสดุรองกระจก ควรใช้ PVC rasin ที่มีคุณภาพสูง (สำหรับกระจกหนา 6 ม.ม หรือบางกว่า), ยางแข็ง (Chloroprene rubbers หรือ EPDM) ที่ความแข็งอย่างน้อย 90O และควรแยกเป็น 2 จุด เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้เท่ากัน
ไม่แนะนำให้ใช้ยางรองที่เป็นรูปตัวยู (U-shape gasket) ในการติดตั้งกระจก เพราะหากมีน้ำซึมเข้าสู่ด้านในกระจกแล้วยากต่อการระบายออก เนื่องจากยางรองซึ่งปิดกั้นขอบกระจก จึงทำให้กระจกเกิดความชื้น และก่อให้เกิดความเสียหายต่อชั้นฟิล์ม
กระจกเคลือบสี อาซาฮี
กระจกเคลือบสีที่มีความคงทนพิเศษ โดยผ่านกระบวนการเคลือบสีที่ผิวหนึ่งด้านและ อบด้วยความร้อนอุณภูมิสูง ทำให้สีติดแน่น คงความสดใสได้ยาวนาน ทนต่อรอยขีดข่วน และสะดวกต่อการดูแลรักษา คุณสมบัติที่โดดเด่นคือ แสงไม่สามารถส่องผ่านด้านที่ เคลือบสีได้ จึงปกปิดวัสดุจับยึดสำหรับการติดตั้งได้ดี เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน หุ้มเสา และผนังอาคาร ชั้นวางสินค้า ไวท์บอร์ด ประตูตู้แบบบานเลื่อน
กระจกเสริมลวด อาซาฮี
ด้วยคุณลักษณะของเส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจก ทำให้กระจกเสริมลวดมีคุณสมบัติพิเศษในการต้านทานการแตกหลุดร่วงของแผ่นกระจก และป้องกันการลุกลามของเปลวไฟรวมถึงควันไฟได้ นอกจากนี้เส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจกทำให้รู้สึกได้ว่าป้องกันขโมยได้
คุณลักษณะพิเศษกระจกเสริมลวด
· ทนความร้อน
กระจกเสริมลวดได้ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติแห่งการคงอยู่ของโครงสร้างที่สามารถต้านเพลิงได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 925 องศาเซลเซียส นานมากกว่า 1 ชั่วโมง
· เกราะกันเปลวไฟและควันไฟ
- เมื่อกระจกเสริมลวดมีการแตกเกิดขึ้น เส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจกจะทำหน้าที่เกาะยึดชิ้นส่วนกระจกไว้ ทำให้กระจกไม่หลุดร่วงเป็นการป้องกันการเกิดช่องที่แผ่นกระจกสกัดกั้นการลุกลามของเปลวไฟและควันไฟต่อไปยังส่วนอื่น- สถิติผู้เสียชีวิตจากไฟไหม้พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสำลักควันไฟ ทำให้ไม่สามารถช่วยตัวเองให้พ้นจากอันตรายได้ การติดตั้ง กระจกเสริมลวด จะสกัดกั้นการแพร่กระจายของควันและเปลวไฟเข้าสู่ทางหนีไฟให้ช้าลงได้ทำให้ผู้ประสบภัยมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น- ตามมาตรฐานโครงสร้างอาคาร เช่น ในประเทศญี่ปุ่น ทางเข้า-ออก อาคารที่อาจเป็นจุดลุกลามของไฟถูกกำหนดไว้ว่าประตูทางเข้า-ออก ต้องใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟดังนั้นกระจกเสริมลวดที่ติดตั้งเข้ากับเฟรมที่ได้มาตรฐานในการป้องกันไฟจึงจัดอยู่ในมาตรฐานที่สามารถป้องกันไฟได้ด้วยเช่นกัน
· เกราะกันการแตกกระจาย
กระจกเสริมลวดที่แตกไม่ว่าจากการแตกด้วยความร้อน แตกด้วยการถูกวัตถุมากระทำ หรือแตกอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว ด้วยคุณสมบัติพิเศษของกระจกเสริมลวด กระจกจะไม่หลุดร่วงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดังนั้นจึงทำให้โอกาสที่จะได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บจากกระจกมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการแตกของกระจกแผ่นทั่วไป
· ป้องกันขโมย
ด้วยคุณสมบัติที่ยากต่อการทะลุทะลวงมากกว่ากระจกแผ่นธรรมดา กระจกเสริมลวดจึงเสมือนเป็นอุปสรรคต่อการลักลอบผ่านเข้าออก จึงมีผลทางจิตวิทยาว่าสามารถป้องกันขโมยได้
การใช้งาน
ใช้กับบริเวณทางเข้า-ออก อาคารที่อาจมีการกระจายของเพลิงหรือกลุ่มควัน ปัจจุบันอาคารสูงที่ให้ความสำคัญในด้านมาตรฐานความปลอดภัยจึงนิยมใช้กระจกเสริมลวดติดตั้งในบริเวณดังกล่าว
ใช้กับบริเวณทางเดินหนีไฟ หรือในบริเวณที่ถูกกำหนดไว้เป็นพื้นที่ป้องกันไฟ
ใช้กับบริเวณเพดาน เพดานสูงเปิดรับแสง หรือผนังอาคารที่ทำด้วยกระจก ที่อาจมีการแตกและหลุดร่วงของชิ้นกระจก
ใช้กับบริเวณที่ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น เช่น บริเวณรับ-จ่ายเงิน บริเวณเก็บวัสดุไวไฟ การใช้งานอื่น ๆ เช่น ประตู หน้าต่าง บ้านพักอาศัย กระจกหน้าร้านค้า ชั้นโชว์สินค้า ตู้โชว์สินค้า โต๊ะ ฉากและผนังกั้นห้อง งานตกแต่งภายใน
ข้อควรระวัง
เมื่อตัดกระจกเสริมลวด เส้นลวดจะถูกตัดขาด ขอบกระจกด้านที่โดนตัดอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกายได้ ความทนทานของขอบจะลดลง จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้กระจกแตกได้ง่ายขึ้น
พื้นที่ของขอบและของผิวเส้นลวดด้านที่โดนตัดต้องได้รับการเตรียมป้องกันการเกิดสนิม โดยการทาขอบกระจกด้วยสีหรือน้ำยากันสนิมทุกครั้ง ควรระมัดระวังสภาวะการใช้งานโดยเฉพาะความชื้นอันจะทำปฏิกิริยาให้เกิดสนิมกับเส้นลวด ที่จะทำให้เส้นลวดพอง เกิดรอยแตกตรงขอบ และทำให้ความแข็งแรงของขอบลดลง ง่ายต่อการแตกจากความร้อน
กระจกฮีตสเตร็งเทน "ฮีตแทค"
แกร่ง ……….. เป็น 2 เท่า
กระจกฮีตสเตร็งเทน"ฮีตแทค" ผลิตโดยกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัยโดยการนำแผ่นกระจกธรรมดาผ่านกระบวนการอบความร้อน จากนั้นผ่านกระบวนการทำให้เนื้อกระจกเย็นลงอย่างช้า ๆ โดยใช้ลมเป่าไปยังกระจกทั้ง 2 ด้าน ทำให้ได้กระจกซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษแข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดา 2 เท่า จึงสามารถรับแรงอัดของลมได้ดีกว่ากระจกธรรมดาในความหนาเดียวกัน
คุณสมบัติ
กระจกฮีตสเตร็งเทนสามารถรับแรงอัดของลมได้ดีกว่ากระจกธรรมดาในความหนาเดียวกัน จึงสามารถนำไปใช้ในการติดตั้งกระจกกับโครงสร้างอาคารสูง เหมาะสำหรับการป้องกันการแตกของกระจกเนื่องจากความร้อน กระจกฮีตสเตร็งเทน"ฮีตแทค" มีลักษณะการแตกเหมือนการแตกของกระจกธรรมดา คือ แตกเป็นชิ้นใหญ่ จึงยังคงติดอยู่ที่กรอบหน้าต่างไม่หลุดร่วงลงมา
ความหลากหลาย
กระจกฮีตสเตร็งเทน มีความหนา 6, 8, 10 มม. และสามารถผลิตจาก กระจกโฟลตใส, กระจกโฟลตสีตัดแสง และกระจกสะท้อนแสง"โซล่าร์แทคฮาร์ด"
การใช้งาน
สามารถใช้แทนกระจกธรรมดา เพื่อลดความหนาของกระจก แต่ให้ความปลอดภัย ใช้กับการติดตั้งโครงสร้างอาคารสูง
สถานที่ที่ต้องเผชิญกับภาวะที่มีความร้อนสูงกว่าปกติ เช่น บริเวณหน้าคานของอาคาร ผนังอาคาร หน้าต่างที่มีแรงอัดลมสูง
สถานที่ที่ต้องการความแข็งแรง และความปลอดภัยสูง
ห้องโชว์ ตู้โชว์สินค้า ที่ต้องทนต่อแรงกระแทกในการใช้งาน
กระจกเทมเปอร์ ความปลอดภัยที่สัมผัสได้ กระจกเทมเปอร์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้ชื่อทางการค้า
คุณสมบัติเด่น
มีความแข็งแรงและความปลอดภัยสูง เมื่อกระจกเกิดการแตกแผ่นฟิล์มจะเป็นตัวยึดเกาะ กระจกไม่หลุดร่วงลงมาทำให้เกิดอันตราย สกัดกั้นรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ได้มากกว่า 99% ลดปริมาณรังสียูวี ที่ส่องผ่านกระจกไปยังวัสดุที่อยู่ภายใน เช่น เฟอร์นิเจอร์ ม่าน พรม ทำ ให้สีไม่ซีดจาง ขณะเดียวกันยังคงความใสเฉกเช่นกระจกธรรมดา ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ก่อให้เกิดบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย
ป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอก ก่อให้เกิดบรรยากาศสบายแก่ผู้อยู่อาศัย และยังช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย
เพิ่มความปลอดภัยจากการโจรกรรม เนื่องจากแผ่นฟิล์มที่คั่นอยู่ระหว่างกระจกมีคุณสมบัติที่เหนียวและทนทาน ทำให้วัตถุที่วิ่งมาชนยากต่อการ ทะลุผ่านเข้าไปได้
การใช้งาน
ใช้เป็นหลังคากระจกที่ต้องการให้แสงสว่างเข้าสู่อาคารได้
ผนังของอาคารสูง หรือช่องหน้าต่างอาคารสูง ที่ต้องการความปลอดภัยจากเศษกระจกหลุดร่วงลงมาเมื่อแตก
บริเวณทางเข้าออกอาคาร ตู้โชว์ของมีค่า หน้าร้านค้า ตู้ปลาขนาดใหญ่ กระจกสำหรับราวกันตก
การป้องกันการโจรกรรม และลอบทำร้าย คือกระจกกันกระสุน ซึ่งใช้แผ่นฟิล์มหนาและเหนียวยิ่งขึ้น และใช้กระจกหลายแผ่นซ้อนกัน
ข้อควรระวัง
ควรติดตั้งตามกระบวนการติดตั้งกระจกลามิเนต
ไม่ควรทำให้ขอบกระจกลามิเนตเกิดรอยบิ่น โดยเฉพาะเมื่อติดตั้งกระจกไว้ภายนอก เพราะขอบอาจได้รับความชื้นซึ่งเป็นตัวทำลายชั้นฟิล์ม เป็นสาเหตุให้ฟิล์มแยกตัวออกจากกระจก
กระจกลามิเนตจะเกิดฟองอากาศ เมื่อกระจกมีอุณหภูมิ 70o องศาเซลเซียส หรือสูงกว่าเพราะฟิล์มจะมีการเปลี่ยนคุณสมบัติทางโครงสร้างการยึดเกาะ
ระวังอย่าให้ขอบกระจกถูกสารละลายเพราะจะทำให้ชั้นฟิล์มเสียหาย
ควรทำการวัดขนาดกระจกลามิเนตให้พอดีก่อนการติดตั้ง เพราะกระจกลามิเนตไม่แนะนำให้นำมาตัดในภายหลัง
การนำกระจกแต่ละประเภทมาประกอบเป็นกระจกลามิเนตกระจกลามิเนต สามารถเพิ่มความแข็งแรงทนทานหรือคุณสมบัติอื่น ๆ ได้โดยการนำไปประกอบกับกระจกแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น
กระจกโฟลตใส + ฟิล์ม + กระจกโฟลตใส
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ + ฟิล์ม + กระจกโฟลตใส
กระจกสะท้อนแสง + ฟิล์ม + กระจกกระจกโฟลตใส
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ + ฟิล์ม + กระจกนิรภัยเทมเปอร์
กระจกฮตีสเตร็งเทน + ฟิล์ม + กระจกฮตีสเตร็งเทน
วิธีการติดตั้ง
เพื่อป้องกันน้ำเข้าที่ขอบกระจก ควรใช้วัสดุยาแนวที่มีคุณภาพสูง เช่น Silicon sealant หรือ Polysulfide
ไม่ควรใช้วัสดุยาแนวที่มีส่วนประกอบของสารละลายหรือ oil-based putty
แนวของกรอบกระจก ควรมีร่องระบายน้ำอย่างต่ำที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร และควรมีไว้ 3 จุดเพื่อการระบายน้ำที่ดี
วัสดุที่ใช้รองรับวัสดุยาแนว ควรใช้ Polyethylene foam หรือ Chloroprene rubbers
การใช้วัสดุรองกระจก ควรใช้ PVC rasin ที่มีคุณภาพสูง (สำหรับกระจกหนา 6 ม.ม หรือบางกว่า), ยางแข็ง (Chloroprene rubbers หรือ EPDM) ที่ความแข็งอย่างน้อย 90O และควรแยกเป็น 2 จุด เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักได้เท่ากัน
ไม่แนะนำให้ใช้ยางรองที่เป็นรูปตัวยู (U-shape gasket) ในการติดตั้งกระจก เพราะหากมีน้ำซึมเข้าสู่ด้านในกระจกแล้วยากต่อการระบายออก เนื่องจากยางรองซึ่งปิดกั้นขอบกระจก จึงทำให้กระจกเกิดความชื้น และก่อให้เกิดความเสียหายต่อชั้นฟิล์ม
กระจกเคลือบสี อาซาฮี
กระจกเคลือบสีที่มีความคงทนพิเศษ โดยผ่านกระบวนการเคลือบสีที่ผิวหนึ่งด้านและ อบด้วยความร้อนอุณภูมิสูง ทำให้สีติดแน่น คงความสดใสได้ยาวนาน ทนต่อรอยขีดข่วน และสะดวกต่อการดูแลรักษา คุณสมบัติที่โดดเด่นคือ แสงไม่สามารถส่องผ่านด้านที่ เคลือบสีได้ จึงปกปิดวัสดุจับยึดสำหรับการติดตั้งได้ดี เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายใน หุ้มเสา และผนังอาคาร ชั้นวางสินค้า ไวท์บอร์ด ประตูตู้แบบบานเลื่อน
กระจกเสริมลวด อาซาฮี
ด้วยคุณลักษณะของเส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจก ทำให้กระจกเสริมลวดมีคุณสมบัติพิเศษในการต้านทานการแตกหลุดร่วงของแผ่นกระจก และป้องกันการลุกลามของเปลวไฟรวมถึงควันไฟได้ นอกจากนี้เส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจกทำให้รู้สึกได้ว่าป้องกันขโมยได้
คุณลักษณะพิเศษกระจกเสริมลวด
· ทนความร้อน
กระจกเสริมลวดได้ผ่านการทดสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติแห่งการคงอยู่ของโครงสร้างที่สามารถต้านเพลิงได้ที่อุณหภูมิสูงถึง 925 องศาเซลเซียส นานมากกว่า 1 ชั่วโมง
· เกราะกันเปลวไฟและควันไฟ
- เมื่อกระจกเสริมลวดมีการแตกเกิดขึ้น เส้นลวดที่ฝังอยู่ในเนื้อกระจกจะทำหน้าที่เกาะยึดชิ้นส่วนกระจกไว้ ทำให้กระจกไม่หลุดร่วงเป็นการป้องกันการเกิดช่องที่แผ่นกระจกสกัดกั้นการลุกลามของเปลวไฟและควันไฟต่อไปยังส่วนอื่น- สถิติผู้เสียชีวิตจากไฟไหม้พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสำลักควันไฟ ทำให้ไม่สามารถช่วยตัวเองให้พ้นจากอันตรายได้ การติดตั้ง กระจกเสริมลวด จะสกัดกั้นการแพร่กระจายของควันและเปลวไฟเข้าสู่ทางหนีไฟให้ช้าลงได้ทำให้ผู้ประสบภัยมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น- ตามมาตรฐานโครงสร้างอาคาร เช่น ในประเทศญี่ปุ่น ทางเข้า-ออก อาคารที่อาจเป็นจุดลุกลามของไฟถูกกำหนดไว้ว่าประตูทางเข้า-ออก ต้องใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟดังนั้นกระจกเสริมลวดที่ติดตั้งเข้ากับเฟรมที่ได้มาตรฐานในการป้องกันไฟจึงจัดอยู่ในมาตรฐานที่สามารถป้องกันไฟได้ด้วยเช่นกัน
· เกราะกันการแตกกระจาย
กระจกเสริมลวดที่แตกไม่ว่าจากการแตกด้วยความร้อน แตกด้วยการถูกวัตถุมากระทำ หรือแตกอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว ด้วยคุณสมบัติพิเศษของกระจกเสริมลวด กระจกจะไม่หลุดร่วงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ดังนั้นจึงทำให้โอกาสที่จะได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บจากกระจกมีน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการแตกของกระจกแผ่นทั่วไป
· ป้องกันขโมย
ด้วยคุณสมบัติที่ยากต่อการทะลุทะลวงมากกว่ากระจกแผ่นธรรมดา กระจกเสริมลวดจึงเสมือนเป็นอุปสรรคต่อการลักลอบผ่านเข้าออก จึงมีผลทางจิตวิทยาว่าสามารถป้องกันขโมยได้
การใช้งาน
ใช้กับบริเวณทางเข้า-ออก อาคารที่อาจมีการกระจายของเพลิงหรือกลุ่มควัน ปัจจุบันอาคารสูงที่ให้ความสำคัญในด้านมาตรฐานความปลอดภัยจึงนิยมใช้กระจกเสริมลวดติดตั้งในบริเวณดังกล่าว
ใช้กับบริเวณทางเดินหนีไฟ หรือในบริเวณที่ถูกกำหนดไว้เป็นพื้นที่ป้องกันไฟ
ใช้กับบริเวณเพดาน เพดานสูงเปิดรับแสง หรือผนังอาคารที่ทำด้วยกระจก ที่อาจมีการแตกและหลุดร่วงของชิ้นกระจก
ใช้กับบริเวณที่ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น เช่น บริเวณรับ-จ่ายเงิน บริเวณเก็บวัสดุไวไฟ การใช้งานอื่น ๆ เช่น ประตู หน้าต่าง บ้านพักอาศัย กระจกหน้าร้านค้า ชั้นโชว์สินค้า ตู้โชว์สินค้า โต๊ะ ฉากและผนังกั้นห้อง งานตกแต่งภายใน
ข้อควรระวัง
เมื่อตัดกระจกเสริมลวด เส้นลวดจะถูกตัดขาด ขอบกระจกด้านที่โดนตัดอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อร่างกายได้ ความทนทานของขอบจะลดลง จึงอาจเป็นสาเหตุทำให้กระจกแตกได้ง่ายขึ้น
พื้นที่ของขอบและของผิวเส้นลวดด้านที่โดนตัดต้องได้รับการเตรียมป้องกันการเกิดสนิม โดยการทาขอบกระจกด้วยสีหรือน้ำยากันสนิมทุกครั้ง ควรระมัดระวังสภาวะการใช้งานโดยเฉพาะความชื้นอันจะทำปฏิกิริยาให้เกิดสนิมกับเส้นลวด ที่จะทำให้เส้นลวดพอง เกิดรอยแตกตรงขอบ และทำให้ความแข็งแรงของขอบลดลง ง่ายต่อการแตกจากความร้อน
กระจกฮีตสเตร็งเทน "ฮีตแทค"
แกร่ง ……….. เป็น 2 เท่า
กระจกฮีตสเตร็งเทน"ฮีตแทค" ผลิตโดยกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัยโดยการนำแผ่นกระจกธรรมดาผ่านกระบวนการอบความร้อน จากนั้นผ่านกระบวนการทำให้เนื้อกระจกเย็นลงอย่างช้า ๆ โดยใช้ลมเป่าไปยังกระจกทั้ง 2 ด้าน ทำให้ได้กระจกซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษแข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดา 2 เท่า จึงสามารถรับแรงอัดของลมได้ดีกว่ากระจกธรรมดาในความหนาเดียวกัน
คุณสมบัติ
กระจกฮีตสเตร็งเทนสามารถรับแรงอัดของลมได้ดีกว่ากระจกธรรมดาในความหนาเดียวกัน จึงสามารถนำไปใช้ในการติดตั้งกระจกกับโครงสร้างอาคารสูง เหมาะสำหรับการป้องกันการแตกของกระจกเนื่องจากความร้อน กระจกฮีตสเตร็งเทน"ฮีตแทค" มีลักษณะการแตกเหมือนการแตกของกระจกธรรมดา คือ แตกเป็นชิ้นใหญ่ จึงยังคงติดอยู่ที่กรอบหน้าต่างไม่หลุดร่วงลงมา
ความหลากหลาย
กระจกฮีตสเตร็งเทน มีความหนา 6, 8, 10 มม. และสามารถผลิตจาก กระจกโฟลตใส, กระจกโฟลตสีตัดแสง และกระจกสะท้อนแสง"โซล่าร์แทคฮาร์ด"
การใช้งาน
สามารถใช้แทนกระจกธรรมดา เพื่อลดความหนาของกระจก แต่ให้ความปลอดภัย ใช้กับการติดตั้งโครงสร้างอาคารสูง
สถานที่ที่ต้องเผชิญกับภาวะที่มีความร้อนสูงกว่าปกติ เช่น บริเวณหน้าคานของอาคาร ผนังอาคาร หน้าต่างที่มีแรงอัดลมสูง
สถานที่ที่ต้องการความแข็งแรง และความปลอดภัยสูง
ห้องโชว์ ตู้โชว์สินค้า ที่ต้องทนต่อแรงกระแทกในการใช้งาน
กระจกเทมเปอร์ ความปลอดภัยที่สัมผัสได้ กระจกเทมเปอร์ ผลิตภัณฑ์คุณภาพ ภายใต้ชื่อทางการค้า
"เทมแทค" (TEMPTAG) ผลิตขึ้นโดยใช้กระจกที่ผ่านกระบวนการอบความร้อนในเตาไฟฟ้าด้วยอุณหภูมิสูงประมาณ 70o องศาเซลเซียส จากนั้นทำการเป่าลมเย็นไปยังผิวกระจกทั้งสองด้าน ด้วยความดันที่เหมาะสม ทำให้ผิวกระจกเย็นลงอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้เนื้อกระจกที่ผ่านการอบ เกิดคุณสมบัติของกระจกเทมเปอร์
คุณสมบัติ
กระจกเทมเปอร์ มีความแข็งแรงกว่ากระจกธรรมดา 3-5 เท่า และเมื่อถูกแรงกระแทกจนแตก แผ่นกระจกจะแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปราศจากคม จึงลดอันตรายต่อผู้ใช้
ความหลากหลาย
กระจกเทมเปอร์ มีความหนาที่สามารถผลิตได้ตั้งแต่ 4 ม.ม. ถึง 19 ม.ม. ซึ่งสามารถผลิตจาก กระจกโฟลตใส, กระจกโฟลตสีตัดแสง และ กระจกสะท้อนแสง"โซล่าร์แทคฮาร์ด"
การใช้งาน
ประตูบานเปลือยและผนังกระจก ทั้งด้านหน้าและภายในตัวอาคาร ซึ่งต้องการความทนทานต่อการใช้งานของผู้คนที่ผ่านเข้าออกอยู่เสมอ
ตู้โทรศัพท์ ห้องโชว์ ตู้สินค้าอัญมณีที่ต้องการความโปร่งใสแต่ทนต่อแรงกระทบกระแทกในการใช้งาน
ฉากกั้นส่วนอาบน้ำ ประตูห้องน้ำ ผนังกั้นภายในอาคารที่ต้องการความสวยเด่นสะดุดตา แต่ยังคงความปลอดโปร่งกว้างขวาง ผนังกระจกของสถานที่ ที่ต้องรับแรงกระแทกที่มีความเร็วสูง เช่น สนามสคว็อช
หน้าต่าง ผนังอาคาร ผนังกระจก ของอาคารในบริเวณที่มีแรงอัดของลมสูง
บริเวณหน้าคานของอาคาร หน้าต่าง ตู้อบไฟฟ้าหรือบริเวณที่ต้องเผชิญกับภาวะความร้อนสูงกว่าปกติ
งานเฟอร์นิเจอร์ เช่น ชั้นวางของ ชั้นโชว์สินค้า
สถานที่ที่คำนึงถึงความปลอดภัยมากถึง 2 ระดับ คือ ต้องการความแข็งแรงสูง และยังคงความปลอดภัยแม้กระจกเกิดการแตก เช่น ผนังอาคารของโรงเรียนอนุบาล ราวบันไดเลื่อน เป็นต้น
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ กับการติดตั้งกระจกอาคาร
ใช้วัสดุยาแนวที่มีคุณภาพสูง เช่น Silicone Sealant หรือ Polysulfide Sealant เป็นต้น
ใช้โพลีเอทธิลีนโฟมหรือยางคลอโรฟรีนเป็นวัสดุรองยาแนว
ควรใช้ยางแข็ง Chloroprene Rubber ซึ่งมีความแข็งอย่างน้อยระดับ 90 เป็นวัสดุรองกระจก ( Setting Block ) และ ควรแยกเป็น 2 จุด เพื่อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน
ข้อควรระวังของกระจกนิรภัยเทมเปอร์
ตามที่ทราบกันแล้วว่า กระจกนิรภัยเทมเปอร์มีแรงที่อยู่ในสภาวะสมดุลในตัวเอง จึงไม่สามารถตัด เจาะ บากมุม หรือ เจียรขอบได้ภายหลังการผลิต ดังนั้นในการสั่งซื้อจะต้องระบุ ขนาด ตำแหน่งเจาะรู บากมุม และ ลักษณะการเจียรขอบให้ถูกต้องด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ควรปรึกษากับทางบริษัท กระจกไทยอาซาฮี จำกัด (มหาชน) ก่อน หากต้องการบากมุม, ตัดเจาะ หรือ เจียรขอบ เป็นต้น
เนื่องจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ต้องผ่านกระบวนการอบด้วยความร้อนสูง จึงทำให้ภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นบิดเบี้ยวกว่ากระจกแผ่นธรรมดาทั่ว ๆ ไป และหากนำกระจกสะท้อนแสงมาผลิตเป็นกระจกนิรภัยเทมเปอร์แล้ว ภาพสะท้อนที่บิดเบี้ยวจะเห็นชัดมากขึ้น
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ทนต่อแรงกระแทก และ แรงอัดของลม มากกว่ากระจกธรรมดาที่มีความหนาเดียวกันถึง 3 เท่า และเมื่อเกิดการแตกจะแตกเป็นเม็ดเล็ก ๆ อย่างไรก็ตามการแตกอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นๆ อีกได้
ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของกระจกเทมเปอร์
1. การแตกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
กระจกเทมเปอร์จะมีชั้น Compressive Stress อยู่บนผิวหน้าของกระจกทั้งสองข้างและมีชั้น Tensile Stress อยู่ภายในเนื้อกระจก ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้กระจกเทมเปอร์เกิดความสมดุลกัน ถ้ามีรอยร้าวเกิดขึ้นบนผิวกระจกและรอยร้าวนั้นขยายตัวจนถึงชั้น Tensile Stress กระจกจะแตกทันที รอยร้าวของกระจกมี 2 ประเภท
· รอยร้าวที่เกิดจากแรงกระทำจากภายนอก เช่น เมื่อมีของแข็งมากระทบ เป็นต้น
· รอยร้าวที่เกิดขึ้นจากสิ่งเจอปนที่อยู่ในเนื้อกระจกซึ่งในกรณีนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก
2. ลักษณะการแตกของกระจกเทมเปอร์
ลักษณะการแตกของกระจกเทมเปอร์จะพิเศษกว่าการแตกของกระจกชนิดอื่น ๆ คือกระจกอาจจะแตกได้ด้วยตัวของมันเองแม้ว่าจะไม่มีการกระแทกจากภายนอก ซึ่งในกรณีนี้จะไม่เกิดขึ้นกับกระจกทั่วไป
· เมื่อกระจกแตกผิวหน้าของกระจกจะแตกออกเป็นชั้นเล็ก ๆ ทันที
· เศษกระจกอาจจะหลุดร่วงลงมาจากขอบกระจก เนื่องมาจากการติดตั้งกระจกแต่ละวิธี
· เศษกระจกอาจตกลงมาเป็นชิ้น ๆ หรืออาจเกาะกันและตกลงมาเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ
วิธีการป้องกันอันตราย
1. วิธีการติดตั้งที่ป้องกันกระจกหลุดร่วง
การติดตั้งโดยใช้ Selant หรือติดตั้งอย่างถูกวิธี จะสามารถป้องกันอันตรายทีเกิดจากเศษกระจกหลุดร่วงเมื่อเกิดการแตกได้
2. วิธีการป้องกันอันตรายจากเศษกระจกแตก
ควรป้องกันการหลุดร่วงของกระจกโดยสำกระจกเทมเปอร์ไปทำเป็นลามิเนต หรือติดฟิล์มที่สามารถป้องกันเศษกระจกหลุดร่วงลงมา เมื่อใช้กระจกเทมเปอร์กับสถานที่ดังต่อไปนี้
· สถานที่ที่มีความลดเอียง เช่น Skylight, Glass ceiling (Atriums) และสถานที่ซึ่งถ้ากระจกแตก เศษกระจกจะตกลงมาทอันตรายต่อบุคคลที่อยู่ข้างล่างได้
· สถานที่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้แม้ว่ากระจกจะติดตั้งในแนวตั้งก็ตาม เช่น หน้าต่าง เป็นต้น
· การติดตั้งกระจกโดยใช้กรอบ เช่น ราวบันได หรือในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งถ้ากระจกแตกแล้วเศษกระจกอาจจะหล่นลงมาทำอันตรายได้
3. คำแนะนำในการออกแบบเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากกระจกเมื่อกระจกแตกและหลุดร่วงลงมา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
· ติดตั้งกันสาด หรือใช้วิธีที่คล้ายกันเพื่อป้องกันเศษกระจกชั้นใหญ่ตกลงมาทำอันตราย
· ทำสัญลักษณ์เพื่อให้คนรู้ว่าสถานที่นั้นมีอันตรายจากการตกลงมาของเศษกระจก
กระจกฉนวนความร้อน กระจกฉนวนความร้อน โลว-อี
อนุรักษ์พลังงาน ….. ป้องกันเสียงรบกวน
กระจกฉนวนความร้อน" แพร์แทค" ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยการนำกระจก 2 แผ่น มาประกอบกันโดยมีกรอบอลูมิเนียมคั่นกลาง ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่นำสมัยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นกระจกที่ช่วยในด้านการประหยัดพลังงาน ป้องกันการถ่ายเทความร้อนระหว่างภายในกับภายนอกอาคาร และป้องกันเสียงรบกวน
กระจกฉนวนความร้อน" แพร์แทค โลว-อี "ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยการนำกระจก 2 แผ่นมาประกอบกันโดยมีกรอบอลูมิเนียมคั่นกลางเช่นเดียวกับกระจกฉนวนความร้อน"แพร์แทค" แต่เพิ่มเติมคุณสมบัติพิเศษโดยการเคลือบสารที่มีคุณสมบัติการแผ่รังสีต่ำที่ผิวของกระจกชั้นที่ 2 ซึ่งอยู่ระหว่างช่องอากาศ จึงทำให้กระจกฉนวนความร้อน "แพร์แทค โลว-อี" อนุรักษ์พลังงาน ป้องกันเสียงรบกวน ได้สูงสุด
คุณสมบัติ
สามารถป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกก่อให้เกิดบรรยากาศสบายแก่ผู้อยู่อาศัย
ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ก่อให้เกิดบรรยากาศเป็นส่วนตัวของผู้อาศัย
สามารถป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอก จึงช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและพลังงาน
ไม่ทำให้เกิดฝ้าหรือหยดน้ำ แม้ว่าอุณหภูมิภายในกับภายนอกแตกต่างกันมาก
ความหลากหลาย
กระจกด้านนอก สามารถเลือกใช้ได้หลากหลาย อาทิเช่น กระจกใส กระจกโฟลตสีตัดแสง กระจกสะท้อนแสง กระจกเทมเปอร์ กระจกฉนวนความร้อน แพร์แทค และกระจกฉนวนความร้อน" แพร์แทค โลว-อี" มีขนาดความหนาโดยรวมได้ตั้งแต่ 10 ม.ม. – 52 ม.ม.
การใช้งาน
เหมาะกับอาคาร สำนักงาน อาคารพาณิชย์ ร้านค้า บ้านพักอาศัย สถานที่ที่ต้องการควบคุมสภาพแวดล้อมในด้านเสียงและอุณหภูมิ
เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการคุณสมบัติเฉพาะ เช่น โรงแรม อาคารภายในสนามบิน โรงพยาบาล คอนโดมิเนียม และอุตสาหกรรมเครื่องเย็นที่ต้องการโชว์ผลิตภัณฑ์ เช่น ตู้แช่เครื่องดื่ม
คุณสมบัติ
กระจกเทมเปอร์ มีความแข็งแรงกว่ากระจกธรรมดา 3-5 เท่า และเมื่อถูกแรงกระแทกจนแตก แผ่นกระจกจะแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปราศจากคม จึงลดอันตรายต่อผู้ใช้
ความหลากหลาย
กระจกเทมเปอร์ มีความหนาที่สามารถผลิตได้ตั้งแต่ 4 ม.ม. ถึง 19 ม.ม. ซึ่งสามารถผลิตจาก กระจกโฟลตใส, กระจกโฟลตสีตัดแสง และ กระจกสะท้อนแสง"โซล่าร์แทคฮาร์ด"
การใช้งาน
ประตูบานเปลือยและผนังกระจก ทั้งด้านหน้าและภายในตัวอาคาร ซึ่งต้องการความทนทานต่อการใช้งานของผู้คนที่ผ่านเข้าออกอยู่เสมอ
ตู้โทรศัพท์ ห้องโชว์ ตู้สินค้าอัญมณีที่ต้องการความโปร่งใสแต่ทนต่อแรงกระทบกระแทกในการใช้งาน
ฉากกั้นส่วนอาบน้ำ ประตูห้องน้ำ ผนังกั้นภายในอาคารที่ต้องการความสวยเด่นสะดุดตา แต่ยังคงความปลอดโปร่งกว้างขวาง ผนังกระจกของสถานที่ ที่ต้องรับแรงกระแทกที่มีความเร็วสูง เช่น สนามสคว็อช
หน้าต่าง ผนังอาคาร ผนังกระจก ของอาคารในบริเวณที่มีแรงอัดของลมสูง
บริเวณหน้าคานของอาคาร หน้าต่าง ตู้อบไฟฟ้าหรือบริเวณที่ต้องเผชิญกับภาวะความร้อนสูงกว่าปกติ
งานเฟอร์นิเจอร์ เช่น ชั้นวางของ ชั้นโชว์สินค้า
สถานที่ที่คำนึงถึงความปลอดภัยมากถึง 2 ระดับ คือ ต้องการความแข็งแรงสูง และยังคงความปลอดภัยแม้กระจกเกิดการแตก เช่น ผนังอาคารของโรงเรียนอนุบาล ราวบันไดเลื่อน เป็นต้น
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ กับการติดตั้งกระจกอาคาร
ใช้วัสดุยาแนวที่มีคุณภาพสูง เช่น Silicone Sealant หรือ Polysulfide Sealant เป็นต้น
ใช้โพลีเอทธิลีนโฟมหรือยางคลอโรฟรีนเป็นวัสดุรองยาแนว
ควรใช้ยางแข็ง Chloroprene Rubber ซึ่งมีความแข็งอย่างน้อยระดับ 90 เป็นวัสดุรองกระจก ( Setting Block ) และ ควรแยกเป็น 2 จุด เพื่อสามารถรับน้ำหนักได้เท่ากัน
ข้อควรระวังของกระจกนิรภัยเทมเปอร์
ตามที่ทราบกันแล้วว่า กระจกนิรภัยเทมเปอร์มีแรงที่อยู่ในสภาวะสมดุลในตัวเอง จึงไม่สามารถตัด เจาะ บากมุม หรือ เจียรขอบได้ภายหลังการผลิต ดังนั้นในการสั่งซื้อจะต้องระบุ ขนาด ตำแหน่งเจาะรู บากมุม และ ลักษณะการเจียรขอบให้ถูกต้องด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ควรปรึกษากับทางบริษัท กระจกไทยอาซาฮี จำกัด (มหาชน) ก่อน หากต้องการบากมุม, ตัดเจาะ หรือ เจียรขอบ เป็นต้น
เนื่องจากกระจกนิรภัยเทมเปอร์ต้องผ่านกระบวนการอบด้วยความร้อนสูง จึงทำให้ภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นบิดเบี้ยวกว่ากระจกแผ่นธรรมดาทั่ว ๆ ไป และหากนำกระจกสะท้อนแสงมาผลิตเป็นกระจกนิรภัยเทมเปอร์แล้ว ภาพสะท้อนที่บิดเบี้ยวจะเห็นชัดมากขึ้น
กระจกนิรภัยเทมเปอร์ทนต่อแรงกระแทก และ แรงอัดของลม มากกว่ากระจกธรรมดาที่มีความหนาเดียวกันถึง 3 เท่า และเมื่อเกิดการแตกจะแตกเป็นเม็ดเล็ก ๆ อย่างไรก็ตามการแตกอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นๆ อีกได้
ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของกระจกเทมเปอร์
1. การแตกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
กระจกเทมเปอร์จะมีชั้น Compressive Stress อยู่บนผิวหน้าของกระจกทั้งสองข้างและมีชั้น Tensile Stress อยู่ภายในเนื้อกระจก ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้กระจกเทมเปอร์เกิดความสมดุลกัน ถ้ามีรอยร้าวเกิดขึ้นบนผิวกระจกและรอยร้าวนั้นขยายตัวจนถึงชั้น Tensile Stress กระจกจะแตกทันที รอยร้าวของกระจกมี 2 ประเภท
· รอยร้าวที่เกิดจากแรงกระทำจากภายนอก เช่น เมื่อมีของแข็งมากระทบ เป็นต้น
· รอยร้าวที่เกิดขึ้นจากสิ่งเจอปนที่อยู่ในเนื้อกระจกซึ่งในกรณีนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก
2. ลักษณะการแตกของกระจกเทมเปอร์
ลักษณะการแตกของกระจกเทมเปอร์จะพิเศษกว่าการแตกของกระจกชนิดอื่น ๆ คือกระจกอาจจะแตกได้ด้วยตัวของมันเองแม้ว่าจะไม่มีการกระแทกจากภายนอก ซึ่งในกรณีนี้จะไม่เกิดขึ้นกับกระจกทั่วไป
· เมื่อกระจกแตกผิวหน้าของกระจกจะแตกออกเป็นชั้นเล็ก ๆ ทันที
· เศษกระจกอาจจะหลุดร่วงลงมาจากขอบกระจก เนื่องมาจากการติดตั้งกระจกแต่ละวิธี
· เศษกระจกอาจตกลงมาเป็นชิ้น ๆ หรืออาจเกาะกันและตกลงมาเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ
วิธีการป้องกันอันตราย
1. วิธีการติดตั้งที่ป้องกันกระจกหลุดร่วง
การติดตั้งโดยใช้ Selant หรือติดตั้งอย่างถูกวิธี จะสามารถป้องกันอันตรายทีเกิดจากเศษกระจกหลุดร่วงเมื่อเกิดการแตกได้
2. วิธีการป้องกันอันตรายจากเศษกระจกแตก
ควรป้องกันการหลุดร่วงของกระจกโดยสำกระจกเทมเปอร์ไปทำเป็นลามิเนต หรือติดฟิล์มที่สามารถป้องกันเศษกระจกหลุดร่วงลงมา เมื่อใช้กระจกเทมเปอร์กับสถานที่ดังต่อไปนี้
· สถานที่ที่มีความลดเอียง เช่น Skylight, Glass ceiling (Atriums) และสถานที่ซึ่งถ้ากระจกแตก เศษกระจกจะตกลงมาทอันตรายต่อบุคคลที่อยู่ข้างล่างได้
· สถานที่ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้แม้ว่ากระจกจะติดตั้งในแนวตั้งก็ตาม เช่น หน้าต่าง เป็นต้น
· การติดตั้งกระจกโดยใช้กรอบ เช่น ราวบันได หรือในสถานที่อื่น ๆ ซึ่งถ้ากระจกแตกแล้วเศษกระจกอาจจะหล่นลงมาทำอันตรายได้
3. คำแนะนำในการออกแบบเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายจากกระจกเมื่อกระจกแตกและหลุดร่วงลงมา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
· ติดตั้งกันสาด หรือใช้วิธีที่คล้ายกันเพื่อป้องกันเศษกระจกชั้นใหญ่ตกลงมาทำอันตราย
· ทำสัญลักษณ์เพื่อให้คนรู้ว่าสถานที่นั้นมีอันตรายจากการตกลงมาของเศษกระจก
กระจกฉนวนความร้อน กระจกฉนวนความร้อน โลว-อี
อนุรักษ์พลังงาน ….. ป้องกันเสียงรบกวน
กระจกฉนวนความร้อน" แพร์แทค" ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยการนำกระจก 2 แผ่น มาประกอบกันโดยมีกรอบอลูมิเนียมคั่นกลาง ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่นำสมัยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นกระจกที่ช่วยในด้านการประหยัดพลังงาน ป้องกันการถ่ายเทความร้อนระหว่างภายในกับภายนอกอาคาร และป้องกันเสียงรบกวน
กระจกฉนวนความร้อน" แพร์แทค โลว-อี "ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยโดยการนำกระจก 2 แผ่นมาประกอบกันโดยมีกรอบอลูมิเนียมคั่นกลางเช่นเดียวกับกระจกฉนวนความร้อน"แพร์แทค" แต่เพิ่มเติมคุณสมบัติพิเศษโดยการเคลือบสารที่มีคุณสมบัติการแผ่รังสีต่ำที่ผิวของกระจกชั้นที่ 2 ซึ่งอยู่ระหว่างช่องอากาศ จึงทำให้กระจกฉนวนความร้อน "แพร์แทค โลว-อี" อนุรักษ์พลังงาน ป้องกันเสียงรบกวน ได้สูงสุด
คุณสมบัติ
สามารถป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกก่อให้เกิดบรรยากาศสบายแก่ผู้อยู่อาศัย
ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ก่อให้เกิดบรรยากาศเป็นส่วนตัวของผู้อาศัย
สามารถป้องกันการถ่ายเทความร้อนจากภายนอก จึงช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับอากาศ ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและพลังงาน
ไม่ทำให้เกิดฝ้าหรือหยดน้ำ แม้ว่าอุณหภูมิภายในกับภายนอกแตกต่างกันมาก
ความหลากหลาย
กระจกด้านนอก สามารถเลือกใช้ได้หลากหลาย อาทิเช่น กระจกใส กระจกโฟลตสีตัดแสง กระจกสะท้อนแสง กระจกเทมเปอร์ กระจกฉนวนความร้อน แพร์แทค และกระจกฉนวนความร้อน" แพร์แทค โลว-อี" มีขนาดความหนาโดยรวมได้ตั้งแต่ 10 ม.ม. – 52 ม.ม.
การใช้งาน
เหมาะกับอาคาร สำนักงาน อาคารพาณิชย์ ร้านค้า บ้านพักอาศัย สถานที่ที่ต้องการควบคุมสภาพแวดล้อมในด้านเสียงและอุณหภูมิ
เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการคุณสมบัติเฉพาะ เช่น โรงแรม อาคารภายในสนามบิน โรงพยาบาล คอนโดมิเนียม และอุตสาหกรรมเครื่องเย็นที่ต้องการโชว์ผลิตภัณฑ์ เช่น ตู้แช่เครื่องดื่ม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)